โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนล่าสุด
นายโจ ไบเดน เข้าสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกาไปหมาด ๆ เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2021 (ตามเวลาของสหรัฐอเมริกาจะยังเป็นวันที่ 20 แต่ถ้าตามเวลาของบ้านเราจะเริ่มราวเที่ยงคืนของวันที่ 21) ต่อหน้าผู้พิพากษาศาลสูงสุด จอห์น โรเบิร์ตส์ และคัมภีร์ไบเบิลเล่มเดียวกับที่ โบ ไบเดน ลูกชายผู้ล่วงลับ ใช้ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งอัยการสูงสุดรัฐเดลาแวร์ เมื่อปี พ.ศ. 2556
โจ ไบเดน โลดแล่นในวงการการเมืองมาจนเป็นประธานาธิบดีในอายุ 78 ปี เขาถูกบันทึกเป็นประธานาธิบดี ที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติสหรัฐอเมริกา ในอดีตโจ ไบเดน เคยดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีในยุคบารัก โอบามาประธาราธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ระหว่าง พ.ศ. 2552-2560
โจ ไบเดน หรือ โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดิน จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2485 เติบโตในรัฐเพนซิลเวเนีย เมืองสแครนตัน เขาชีวิตอยู่จนถึง 10 ปี ก่อนจะย้ายมาอยู่เมืองเดลาแวร์จนถึงปัจจุบัน โจ ไบเดน เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ และจบการศึกษาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ เขาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นทนายความ แต่ด้วยความสนใจด้านการเมืองทำให้เขาเป็นนักกิจกรรมของพรรคเดโมแครตจนถูกเห็นแววและผลักดันจากพรรค โจได้ลงแข่งขันชิงตำแหน่งวุฒิสภารัฐเดลาแวร์ในปี พ.ศ. 2515 และเขาทำสำเร็จ ถูกบันทึกเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นลำดับที่ 5 ในประวัติศาสตร์อเมริกา
(ภาพประกอบจาก www.chicagotribune.com)
ชีวิตส่วนตัวโจ ไบเดนปลูกต้นรักกับเนลเลีย ฮันเตอร์ ทั้งคู่แต่งงานกันและมีพยานรักถึง 3 คน หลังชนะศึกเลือกตั้งวุฒิสภา ภรรยาและลูกทั้งสามของเขาประสบอุบัติเหตุระหว่างซื้อของเตรียมฉลองคริสต์มาส ภรรยาและลูกสาวคนเล็กที่ยังเป็นทารก เสียชีวิตทันที ขณะที่ลูกชายอีกสองคน คือโบและฮันเตอร์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนไบเดนตั้งใจถอนตัวออกจากวุฒิสภาเพื่อดูแลลูกชายของเขาแต่ความไว้ใจของสมาชิกพรรคทำให้เขาเดินต่อในเส้นทางการเมือง
หลังจากสูญเสียภรรยาและลูกสาวไป 5 ปี โจ ไบเดนปลูกต้นรักต้นใหม่กับ จิล ไบเดน ทั้งคู่มีพยานรักเป็นลูกสาว 1 คน ทุกอย่างดูไปได้สวยแต่แล้วในปี 2558 โจได้สูญเสียโบ ไบเดน ลูกชายของตนจากโรคมะเร็งทางสมอง โบ ไบเดน เคยทำงานรับใช้สหรัฐฯด้วยการร่วมรบที่อิรัก ก่อนเสียชีวิตดำรงตำแหน่งอัยการรัฐเดลาแวร์ กล่าวกันว่าเส้นทางชีวิตที่ไม่ราบเรียบหล่อหลอมให้โจ ไบเดน เป็นนักการเมืองคุณภาพ เขาเรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น พร้อมช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก
หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี โจ ไบเดน เริ่มงานแรกด้วยการเซ็นคำสั่งนำสหรัฐอเมริกากลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีสเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน ตรงตามที่โจเคยหาเสียงไว้ และเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาต้องการแก้ไขปัญหาโลกร้อนกับนานาประเทศอย่างจริงจัง ทั้งนี้โจ ไบเดนยังเผยว่าโดนัล ทรัมป์ ได้เขียนจดหมายส่วนตัวอวยพรให้ด้วยแต่ไม่ขอเผยเนื้อหา
ความวุ่นวายในสหรัฐอเมริกาก่อนพิธีสาบานตนจะเกิดขึ้น ประชาชนชาวอเมริกาส่วนหนึ่งที่สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ บุกรัฐสภา ในช่วง 12.45 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น หลังโดนัล ทรัมป์กล่าวอ้างว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจมีความไม่โปร่งใสและจะไม่ยอมแพ้ต่อผลการเลือกตั้งครั้งนี้ มวลชนบุกสภาคองเกรส เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน จนมีผู้เสียชีวิต 4 ราย วอชิงตันประกาศภาวะฉุกเฉิน 15 วัน
จนถึงวันที่ 21 ม.ค. หลังเสร็จสิ้นการประกอบพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโจ ไบเดน ความวุ่นวายถูกควบคุมได้โซเชียลมีเดียทั้งทวิตเตอร์ ยูทูป เฟสบุ๊คแบนโดนัล ทรัมป์จากสื่อของตนกันการปลุกปั่นมวลชน นี่คือมรดกทางความขัดแย้งที่ถูกทิ้งไว้เป็นงานหนักที่โจ ไบเดน จะต้องรับมือ
หลาย ๆ คนอาจยังงง ๆ กับระบบการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา เอาเป็นว่าเราขออธิบายกันต่อเลย ด้วยการนำเนื้อหาบทความของคอลัมน์ Law in Life ใน MiX MAGAZINE ฉบับที่ 121-122 เมื่อตอนอดีตประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ มานำเสนออีกครั้ง เพราะเป็นหลักเกณฑ์เดียวกันนั่นเอง
ระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา
วันนี้นายโดนัล ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน (Republican) ได้กลายเป็นอดีตประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ หลังพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีคนที่ 46 นายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมเครต (Democrat) และเขารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการหลังเที่ยงวันนี้ 21 มกราคม ค.ศ. 2021 แต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นต้องบอกว่ามีความยุ่งยากซับซ้อนอยู่พอสมควร จนทำให้บางคนมีข้อสงสัยว่าระบบการเลือกตั้งดังกล่าวมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
ด้วยเหตุดังกล่าว MiX MAGAZINE ขอนำระบบการเลือกตั้งของประเทศนี้ ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของระบบประธานาธิบดี มานำเสนอเพื่อคลายข้อสงสัย และเข้าใจถึงกระบวนการดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น อันดับแรกคือ คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญของเขาต้องเป็นบุคคลที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป มีสัญชาติอเมริกันโดยกำเนิด อาศัยอยู่ในประเทศนี้ไม่น้อยกว่า 14 ปี และ
ไม่เคยเป็นประธานาธิบดีมาแล้ว 2 สมัย ซึ่งหมายถึงการดำรงตำแหน่งดังกล่าวมีวาระ 4 ปี และไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้มากกว่า 2 สมัย ทั้งนี้การเข้ารับตำแหน่งเกินกว่า 2 ปีให้ถือว่าเป็น 1 สมัย
ในกรณีที่ประธานาธิบดีได้รับตำแหน่งและทำหน้าที่ไปแล้ว การที่จะพ้นตำแหน่งก่อนที่จะหมดวาระ 4 ปีนั้น จะเกิดขึ้นมี 3 กรณี คือ เสียชีวิต ลาออก และถูกสภาผู้แทนราษฎรปลดจากตำแหน่ง ในกรณีถูกกล่าวโทษ (Impeachment) เท่านั้น
เมื่อเกิดกรณีดังกล่าวอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นรองประธานาธิบดี, ประธานผู้แทนราษฎร, ประธานวุฒิสภา, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามลำดับ สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้เลย โดยไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่
ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติดังนี้ มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ มีสัญชาติอเมริกัน และมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ใน Territories หรือเขตอาณาปกครองของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้แก่ หมู่เกาะอเมริกันซามัว, กวม, หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา, เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา จะไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง
การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้น การสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งมีกระบวนการอย่างไรบ้าง?
1. เริ่มต้นจากทั้งสองพรรคต้องสรรหาผู้ชนะในแต่ละรัฐให้ได้เสียก่อน โดยวิธีการเลือกตั้งแบบ Primary หรือแบบ Caucus ซึ่ง Primary ถูกนำมาใช้มากกว่า ทั้งนี้แล้วแต่ว่าพรรคนั้น ๆ ในแต่ละรัฐจะเลือกใช้แบบใด
Primary นั้น รัฐ New Hampshire จะเป็นรัฐแรกเสมอ โดยแบ่งเป็นเปิดกับปิดด้วยการลงคะแนนลับ แบบเปิดคือผู้ลงคะแนนสามารถเลือกพรรคที่ตัวเองลงทะเบียนไว้หรือไม่ก็ได้ แต่ต้องเลือกผู้แทนของพรรคใดพรรคหนึ่ง ส่วนแบบปิดเลือกได้เฉพาะผู้แทนของพรรคที่ตนเองลงทะเบียนไว้เท่านั้น
Caucus คือการรวมตัวของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนไว้กับพรรคเพื่อเลือกผู้แทนพรรค ซึ่งรัฐ Iowa จะเป็นรัฐแรกเสมอ และผู้เข้าร่วมสามารถโน้มน้าวผู้ที่มาร่วมลงคะแนนได้เมื่ออภิปรายจบ จะมีการลงคะแนนด้วยบัตร หรือแบบนับรายหัวก็ได้ซึ่งแล้วแต่เขตนั้น ๆ จะกำหนด
2. เมื่อผ่านขั้นตอน Primary และ Caucus เท่ากับได้ตัวแทนของพรรคในแต่ละรัฐแล้ว ก็จะมีการประชุมใหญ่ (National Convention) เพื่อเสนอชื่อผู้เข้าชิงประธานาธิบดีในพรรคของตน
3. ผู้ที่ถูกเสนอชื่อของแต่ละพรรคจะเริ่มรณรงค์หาเสียงพร้อมกับผู้แทนพรรคจะมีการเลือกรองประธานาธิบดี
4. การเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นวันอังคารหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายนของปีที่มีการเลือกตั้ง เป็นวันลงคะแนนเสียงสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนไว้แล้วในเขตของตน ซึ่งการเลือกตั้งทั่วไปนั้นถือเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม เพราะเมื่อประชาชนในแต่ละรัฐลงคะแนนให้กับผู้ใด และผู้นั้นได้รับคะแนนสูงสุดในรัฐนั้น (Popular Vote) กลุ่มตัวแทนของเขาก็จะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของรัฐนั้นทั้งหมด (Winner takes all) ยกเว้นรัฐ Maine กับรัฐ Nebraska
5. หลังจากนั้นคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) จะเป็นตัวแทนในการออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีแทนประชาชนในรัฐนั้น ๆ ต่อไป (Electoral Vote) ซึ่งผู้ชนะการเลือกตั้งจะต้องได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่ง ซึ่งไม่น้อยกว่า 270 จากทั้งหมด 538 เสียง
เห็นไหมครับว่าประเทศต้นแบบของประธานาธิบดีอย่างประเทศสหรัฐอเมริกากว่าจะได้มาเป็นผู้ทรงอำนาจและมีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ไม่ได้มาง่าย ๆ เพราะบางครั้ง ผู้ชนะ Popular Vote อาจจะตกม้าตายไม่ได้เป็นประธานาธิบดี เพราะไปแพ้ Electoral Vote ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
อนาคตของประเทศที่เป็นพี่ใหญ่ของโลกเสรี อย่างสหรัฐอเมริกาจะเป็นไปอย่างไร เราคงต้องติดตามกันต่อไป แต่ที่แน่ ๆ หลาย ๆ อย่างมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนแน่นอน!
Comments